สาระสำคัญ
- เรียนรู้ขั้นตอนที่จำเป็นของกระบวนการนำเข้า
- ทำความเข้าใจวิธีจัดการซัพพลายเออร์ และโลจิสติกส์
- ทำความเข้าใจเรื่องค่าใช้จ่าย การขนส่ง และศุลกากรให้ชัดเจน
การนำเข้าสินค้าจากจีน อาจดูเป็นเรื่องที่น่ากังวลในตอนแรก แต่จะสามารถจัดการได้ง่ายขึ้น เมื่อแบ่งออกเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน ใครๆ ก็สามารถเริ่มต้นนำเข้าสินค้าได้อย่างประสบความสำเร็จ เพียงแค่เข้าใจกระบวนการ เลือกซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ และวางแผนเรื่องการขนส่ง และพิธีการศุลกากร หากมีแนวทางที่ถูกต้อง การนำเข้า จะกลายเป็นวิธีที่ทำได้จริง ในการเข้าถึงสินค้าต้นทุนต่ำ และช่วยให้ธุรกิจเติบโต
คู่มือนี้ จะตอบคำถามที่พบบ่อยที่สุด สำหรับผู้เริ่มต้น ตั้งแต่การจัดหาสินค้า ไปจนถึงการจัดการเรื่องการจัดส่ง โดยจะอธิบายหัวใจสำคัญต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีความซับซ้อน ที่ไม่จำเป็น ทำให้เห็นภาพว่าแต่ละขั้นตอนเชื่อมโยงกันอย่างไร เมื่ออ่านจบแล้ว กระบวนการทั้งหมดจะดูน่ากังวลน้อยลง และกลายเป็นระบบที่สามารถทำตามได้อย่างมั่นใจ
สารบัญเนื้อหา
1. ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการนำเข้าสินค้า
2. การค้นหา และทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์
- วิธีการค้นหาซัพพลายเออร์ที่น่าเชื่อถือ
- จำนวนสั่งซื้อขั้นต่ำ (MOQ) และการเจรจาต่อรอง
- การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และแพลตฟอร์มออนไลน์
3. หลักการพื้นฐานด้านการขนส่ง และโลจิสติกส์
- การเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม
- บทบาทของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder)
- ภาพรวมของการจัดการห่วงโซ่อุปทาน
4. Incoterms และข้อควรพิจารณาด้านต้นทุน
- คำอธิบายเกี่ยวกับ FOB, EXW และ CIF
- ความเข้าใจเกี่ยวกับ Incoterms ในสัญญา
- การคำนวณต้นทุนรวมจนถึงปลายทาง
5. พิธีการศุลกากร และการจัดส่งสินค้าขั้นสุดท้าย
ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการนำเข้าสินค้า
การนำเข้าสินค้าจากจีน ประกอบด้วยขั้นตอนเชิงปฏิบัติหลายขั้นตอน ตั้งแต่การค้นหาซัพพลายเออร์ที่เหมาะสม ไปจนถึงการดำเนินพิธีการศุลกากร ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการวางแผนอย่างรอบคอบ การเตรียมเอกสารที่ถูกต้อง และความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้า (Trade Terms) ซึ่งเป็นตัวกำหนดความรับผิดชอบระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย
ขั้นตอนสำคัญในการนำเข้าสินค้าจากจีน
กระบวนการนำเข้า มักเริ่มต้นด้วยการค้นคว้าข้อมูลสินค้า ผู้นำเข้าจะตัดสินใจว่า จะจัดหาสินค้าอะไร ตรวจสอบความต้องการในตลาดของตน และเปรียบเทียบตัวเลือกจากซัพพลายเออร์หลายราย แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Alibaba, Global Sources และ Made-in-China เป็นจุดเริ่มต้นที่นิยมใช้กัน
หลังจากระบุซัพพลายเออร์ได้แล้ว ผู้ซื้อจะขอใบเสนอราคา และตัวอย่างสินค้า เพื่อยืนยันคุณภาพ ขั้นตอนต่อไป คือ การเจรจาราคา ปริมาณการสั่งซื้อขั้นต่ำ และเงื่อนไขการชำระเงิน ผู้นำเข้าจำนวนมาก ใช้วิธีการชำระเงินที่ปลอดภัย เช่น เลตเตอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit) หรือบริการตัวกลาง (Escrow) เพื่อเพิ่มความคุ้มครอง
เมื่อทำการสั่งซื้อแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การจัดการเรื่องการขนส่ง ผู้นำเข้าต้องเลือกระหว่างการขนส่งทางอากาศ (Air Freight), การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) หรือบริการขนส่งด่วน (Courier) ขึ้นอยู่กับต้นทุน และความเร่งด่วน โดยส่วนใหญ่ มักใช้บริการจากผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) เพื่อช่วยจัดการด้านโลจิสติกส์ และรวบรวมสินค้า
สุดท้าย สินค้าจะต้องผ่านพิธีการศุลกากร ในประเทศปลายทาง ขั้นตอนนี้ รวมถึงการชำระอากร ภาษี และค่าธรรมเนียมต่างๆ ก่อนที่สินค้าจะได้รับการปล่อย เพื่อนำไปจัดส่งต่อไป
เอกสาร และข้อกำหนดที่จำเป็น
การเตรียมเอกสารที่ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในกระบวนการนำเข้า เอกสารที่ขาดหายไป หรือไม่ถูกต้อง อาจทำให้การขนส่งล่าช้า หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้
บัญชีราคาสินค้า (Commercial Invoice) เป็นหนึ่งในเอกสารที่สำคัญที่สุด โดยจะระบุรายละเอียดสินค้า มูลค่า และเงื่อนไขการขาย เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะใช้เอกสารนี้ ในการคำนวณอากร และภาษี
เอกสารที่จำเป็นอีกอย่าง คือ บัญชีรายละเอียดบรรจุหีบห่อ (Packing List) ซึ่งระบุรายละเอียดของสิ่งที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แต่ละชิ้น ซึ่งช่วยให้ผู้ขนส่ง และเจ้าหน้าที่ศุลกากร สามารถตรวจสอบสินค้าได้
ผู้นำเข้า อาจต้องใช้ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin), ใบตราส่งสินค้าทางเรือ (Bill of Lading – B/L) หรือใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Airway Bill – AWB) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า เอกสารเหล่านี้ ใช้ยืนยันว่า สินค้าถูกผลิตที่ใด และจัดส่งมาด้วยวิธีใด
สินค้าบางชนิด ต้องมีใบอนุญาตพิเศษ หรือต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาจต้องมีใบรับรอง เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบของสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรปก่อน จึงจะสามารถวางจำหน่ายได้
คำอธิบายข้อตกลงทางการค้าที่พบบ่อย
ผู้นำเข้า มักจะพบกับข้อตกลงทางการค้าที่เรียกว่า Incoterms ซึ่งกำหนดความรับผิดชอบในด้านการขนส่ง การประกันภัย และพิธีการศุลกากร
- FOB (Free on Board) : ซัพพลายเออร์ จะส่งสินค้าถึงท่าเรือต้นทาง ส่วนผู้ซื้อเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่ง และค่าประกันภัย
- CIF (Cost, Insurance, and Freight) : ซัพพลายเออร์รับผิดชอบค่าขนส่ง และค่าประกันภัยจนถึงท่าเรือของผู้ซื้อ แต่ผู้ซื้อยังคงต้องรับผิดชอบค่าอากรศุลกากร
- EXW (Ex Works) : ผู้ซื้อรับผิดชอบค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงทั้งหมด นับตั้งแต่หน้าโรงงานของซัพพลายเออร์เป็นต้นไป
การทำความเข้าใจข้อตกลงเหล่านี้ จะช่วยป้องกันความสับสน และค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด ผู้นำเข้าควรยืนยัน Incoterms ในสัญญาซื้อขาย ก่อนที่จะสรุปคำสั่งซื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาท
ความรู้ที่ชัดเจน เกี่ยวกับข้อตกลงเหล่านี้ ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารความเสี่ยง ควบคุมค่าใช้จ่าย และทำให้กระบวนการนำเข้าเป็นไปอย่างราบรื่น
การค้นหา และทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์
ผู้นำเข้า จำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือของซัพพลายเออร์ ทำความเข้าใจข้อกำหนดการสั่งซื้อ และเลือกช่องทางที่เหมาะสม สำหรับการสื่อสาร และการจัดหาสินค้า การสร้างความไว้วางใจ การชี้แจงความคาดหวังให้ชัดเจน และการใช้วิธีการทั้งแบบออนไลน์ และแบบพบหน้า จะช่วยให้กระบวนการมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความผิดพลาด ที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้
วิธีการค้นหาซัพพลายเออร์ที่น่าเชื่อถือ
ขั้นตอนแรก ในการนำเข้าสินค้าจากจีน คือ การระบุซัพพลายเออร์ ที่สามารถส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอ ธุรกิจจำนวนมากเริ่มต้นจากแพลตฟอร์มอย่าง Alibaba, Global Sources หรือ 1688 ซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้ผลิต และบริษัทตัวแทนจำหน่ายหลายพันราย
ผู้ซื้อ ควรขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ใบรับรอง และตัวอย่างสินค้า เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ การตรวจสอบรีวิวจากบุคคลที่สาม และการใช้บริการตรวจสอบคุณภาพสินค้า ก็เป็นอีกวิธี ที่ช่วยยืนยันคำกล่าวอ้างของผู้ขายได้
รายการตรวจสอบอย่างง่าย ที่สามารถใช้เป็นแนวทาง ในการประเมินซัพพลายเออร์
- คุณภาพสินค้า : ขอตัวอย่างสินค้า เพื่อตรวจสอบ ก่อนตัดสินใจสั่งซื้อ
- การสื่อสาร : การตอบกลับที่ชัดเจน และทันเวลา บ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพ
- กำลังการผลิต : ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ซัพพลายเออร์ สามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตได้
- การปฏิบัติตามข้อกำหนด : ยืนยันว่า ใบรับรองต่างๆ เป็นไปตามมาตรฐานของประเทศผู้นำเข้า
การทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์หลายราย ในช่วงเริ่มต้น สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ จนกว่าจะได้คู่ค้าที่ไว้วางใจได้ ในระยะยาว
จำนวนสั่งซื้อขั้นต่ำ (MOQ) และการเจรจาต่อรอง
โรงงาน ส่วนใหญ่ในจีน จะกำหนดจำนวนสั่งซื้อขั้นต่ำ (Minimum Order Quantity – MOQ) เพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้เริ่มต้น ข้อกำหนดนี้ อาจดูเหมือนสูง แต่ซัพพลายเออร์จำนวนมาก ก็เปิดรับการเจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้ซื้อ มีแนวโน้มที่จะสั่งซื้อซ้ำ ในอนาคต
ตัวอย่างเช่น โรงงานอาจระบุ MOQ ไว้ที่ 1,000 ชิ้น แต่อาจยอมรับการสั่งซื้อที่ 300–500 ชิ้นในราคาต่อหน่วยที่สูงขึ้นเล็กน้อย ผู้ซื้อ ควรสร้างสมดุลระหว่างต้นทุนต่อหน่วย กับความต้องการสินค้าคงคลัง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าล้นสต็อก
เคล็ดลับในการเจรจาต่อรอง
- สั่งซื้อสินค้าหลายรูปแบบรวมกัน : สั่งสินค้าชนิดเดียวกัน แต่มีรูปแบบต่างกัน เพื่อให้ยอดรวมถึงเกณฑ์ MOQ
- เสนอข้อผูกมัดในระยะยาว : ซัพพลายเออร์อาจยอมลด MOQ สำหรับคำสั่งซื้อในอนาคต
- ตั้งอยู่บนความเป็นจริง : การขอสั่งซื้อในปริมาณที่น้อยมากๆ มักไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้ผลิต
ข้อตกลงที่ชัดเจน เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ การติดฉลาก และระยะเวลาในการผลิต และจัดส่ง (Lead time) ควรเป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุย เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และแพลตฟอร์มออนไลน์
งานแสดงสินค้าในประเทศจีน เช่น งานแคนตันแฟร์ (Canton Fair) ที่กว่างโจว หรืองานอีสต์ไชน่าแฟร์ (East China Fair) ที่เซี่ยงไฮ้ เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อได้พบปะกับซัพพลายเออร์โดยตรง สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้การตรวจสอบตัวอย่างสินค้า การสอบถามรายละเอียดเชิงลึก และการสร้างความไว้วางใจเป็นไปได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น
แพลตฟอร์มออนไลน์ ยังคงมีประโยชน์ สำหรับการจัดหาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ เมื่อไม่สามารถเดินทางได้ เว็บไซต์อย่าง Alibaba และ Made-in-China ช่วยให้สามารถเข้าถึงโรงงานหลายพันแห่ง ที่มีโปรไฟล์ผ่านการตรวจสอบแล้ว
การใช้แนวทางแบบผสมผสาน มักจะได้ผลดี ที่สุด ผู้นำเข้าสามารถใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อคัดกรองซัพพลายเออร์ที่มีศักยภาพ จากนั้นจึงเข้าร่วมงานแสดงสินค้า เพื่อยืนยันคุณภาพ และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การผสมผสานนี้ ช่วยสร้างสมดุล ระหว่างความสะดวกสบาย กับการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (Due Diligence) ในการจัดหาสินค้าจากประเทศจีน
หลักการพื้นฐานด้านการขนส่ง และโลจิสติกส์
การนำเข้าสินค้าจากจีน จำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่ชัดเจน เกี่ยวกับวิธีการเคลื่อนย้ายสินค้า ใครจะเป็นผู้จัดการกระบวนการ และแต่ละขั้นตอน จะเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ใหญ่กว่าได้อย่างไร เนื่องจากต้นทุน ระยะเวลา และความรับผิดชอบ จะแตกต่างกันไป ตามตัวเลือกที่ใช้ ดังนั้นการทำความเข้าใจพื้นฐาน จะช่วยหลีกเลี่ยงความล่าช้า และค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดได้
การเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม
โดยปกติแล้ว ผู้ซื้อ จะเลือกระหว่างการขนส่งทางอากาศ (Air Freight), ทางเรือ (Sea Freight) หรือทางรถไฟ (Rail Freight) ในการเคลื่อนย้ายสินค้าจากประเทศจีน การขนส่งทางอากาศ เหมาะที่สุด สำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักเบา และมูลค่าสูง ที่ต้องการการจัดส่งที่รวดเร็ว แม้ว่าจะเป็นตัวเลือกที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดก็ตาม ส่วนการขนส่งทางเรือ มีต้นทุนต่อหน่วยต่ำที่สุด และเหมาะกับการขนส่งสินค้าปริมาณมาก แต่ระยะเวลาในการขนส่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์
การขนส่งทางรถไฟ เป็นทางเลือกที่อยู่ระหว่างกลาง สำหรับการขนส่งไปยังยุโรป ซึ่งสร้างสมดุลระหว่างต้นทุน และความเร็ว สำหรับคำสั่งซื้อขนาดเล็ก ผู้ซื้อมักใช้บริการขนส่งด่วน เช่น DHL หรือ FedEx ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการขนส่งทางอากาศกับบริการแบบส่งถึงที่ (Door-to-door)
ปัจจัยหลักที่ควรพิจารณาเปรียบเทียบ ได้แก่
- ระยะเวลาในการจัดส่ง (วันเทียบกับสัปดาห์)
- ต้นทุนต่อกิโลกรัม หรือลูกบาศก์เมตร
- ข้อจำกัดด้านขนาด และน้ำหนักของสินค้า
- การจัดการพิธีการศุลกากร และเอกสาร
การเลือกวิธีการที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ความเร่งด่วน และงบประมาณ
บทบาทของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder)
ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ หรือเฟรทฟอร์เวิร์ดเดอร์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ระหว่างผู้ซื้อ และผู้ให้บริการขนส่ง พวกเขาจะจัดการด้านการขนส่ง จัดการเอกสารทางศุลกากร และประสานงานกับคลังสินค้า ทำให้กระบวนการง่ายขึ้น สำหรับผู้นำเข้า ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านโลจิสติกส์
บ่อยครั้งที่ฟอร์เวิร์ดเดอร์ สามารถเจรจาต่อรองค่าระวางที่ดีกว่า กับผู้ให้บริการขนส่งได้ เนื่องจากมีปริมาณการขนส่งจำนวนมาก พวกเขายังให้คำแนะนำ เกี่ยวกับเงื่อนไขการส่งมอบ (Incoterms), การประกันภัย และข้อกำหนดด้านบรรจุภัณฑ์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากความล่าช้า หรือค่าปรับ
ผู้นำเข้าจำนวนมาก พึ่งพาฟอร์เวิร์ดเดอร์ สำหรับบริการแบบส่งถึงที่ ซึ่งรวมถึงการรับสินค้าจากซัพพลายเออร์ การขนส่งระหว่างประเทศ การดำเนินพิธีการศุลกากร และการจัดส่งสินค้าถึงปลายทาง ตัวเลือกนี้ช่วยประหยัดเวลา แต่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า การจัดการแต่ละขั้นตอน ด้วยตนเอง
ในการเลือกฟอร์เวิร์ดเดอร์ ผู้นำเข้าควรเปรียบเทียบปัจจัยต่อไปนี้
- ประสบการณ์ ในเส้นทางการขนส่งจากจีน มายังประเทศปลายทาง
- ความเชี่ยวชาญ ด้านพิธีการศุลกากร
- ขอบเขตของบริการที่นำเสนอ
- ความโปร่งใสของอัตราค่าบริการ
ภาพรวมของการจัดการห่วงโซ่อุปทาน
การขนส่ง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่กว้างขึ้น ผู้นำเข้าต้องจัดการตั้งแต่การจัดหาสินค้า การสื่อสารกับซัพพลายเออร์ ตารางการขนส่ง การดำเนินพิธีการศุลกากร การจัดการคลังสินค้า และการจัดส่งสู่ปลายทาง (Last-mile delivery) ซึ่งแต่ละส่วน ล้วนส่งผลกระทบต่อ ทั้งต้นทุน และระยะเวลารอคอยสินค้า (Lead Time)
ความล่าช้า มักเกิดขึ้นเมื่อขั้นตอนต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทานไม่ได้รับการประสานงานที่ดี ตัวอย่างเช่น การผลิตที่ล่าช้าของซัพพลายเออร์ อาจทำให้พลาดเที่ยวเรือ ซึ่งส่งผลให้เกิดค่าจัดเก็บสินค้าที่ท่าเรือเพิ่มขึ้น
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น ธุรกิจต่างๆ มักใช้ซอฟต์แวร์การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อติดตามการขนส่ง ตรวจสอบสินค้าคงคลัง และคาดการณ์ความต้องการ การสื่อสารที่ชัดเจนกับซัพพลายเออร์ และพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ ยังช่วยป้องกันการหยุดชะงักที่อาจสร้างความเสียหายได้
ห่วงโซ่อุปทาน ที่มีการจัดการที่ดี ช่วยให้ผู้นำเข้า สามารถสร้างสมดุลระหว่างความเร็วในการขนส่ง ระดับสินค้าคงคลัง และต้นทุนโดยรวม ในขณะที่ยังคงสามารถตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าได้
Incoterms และข้อควรพิจารณาด้านต้นทุน
ผู้นำเข้า จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่า ความรับผิดชอบ และค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ถูกแบ่งระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขายอย่างไร การเลือกใช้ Incoterms จะส่งผลโดยตรงว่า ใครเป็นผู้จัดหาการขนส่ง ชำระภาษีอากร และรับความเสี่ยงระหว่างการขนส่งสินค้า การทราบถึงความแตกต่างเหล่านี้ จะช่วยหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด และข้อพิพาท ที่อาจเกิดขึ้นได้
คำอธิบายเกี่ยวกับ FOB, EXW และ CIF
FOB (Free on Board) เป็นหนึ่งในข้อตกลง ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด ในการค้ากับจีน ภายใต้เงื่อนไข FOB ผู้ขายจะส่งมอบสินค้าขึ้นไปบนเรือ ณ ท่าเรือต้นทาง โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด จนกระทั่งสินค้าถูกยกขึ้นเรือเรียบร้อย เมื่อสินค้าอยู่บนเรือแล้ว ผู้ซื้อจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าระวางเรือ ค่าประกันภัย และพิธีการศุลกากรขาเข้าทั้งหมด
EXW (Ex Works) เป็นเงื่อนไขที่ผู้ขายมีความรับผิดชอบน้อยที่สุด ผู้ซื้อจะต้องจัดการรับสินค้าจากสถานที่ของผู้ขายเอง จัดการพิธีการศุลกากรขาออก และชำระค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และศุลกากรทั้งหมด เงื่อนไขนี้ อาจสร้างภาระงานเพิ่มเติม สำหรับผู้ซื้อ ที่ไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนการส่งออกของจีน
CIF (Cost, Insurance, and Freight) กำหนดให้ผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และค่าประกันภัยขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงท่าเรือปลายทางของผู้ซื้อ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อทันที ที่สินค้าถูกยกขึ้นบนเรือ ณ ท่าเรือต้นทาง ผู้ซื้อควรทราบว่า ประกันภัยภายใต้เงื่อนไข CIF มักให้ความคุ้มครองเพียงขั้นต่ำสุด ซึ่งบ่อยครั้งจำเป็นต้องซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมเอง
| ข้อตกลง (Term) | ผู้ขายรับผิดชอบ | ผู้ซื้อรับผิดชอบ | การโอนความเสี่ยง |
|---|---|---|---|
| FOB (Free On Board) | พิธีการส่งออก, การจัดส่งถึงเรือ, การบรรทุกสินค้าขึ้นเรือ | ค่าระวางเรือ, ค่าประกันภัย, ภาษีนำเข้า | เมื่อสินค้าอยู่บนเรือ |
| EXW (Ex Works) | สินค้าพร้อม ณ สถานที่ของผู้ขาย | การขนส่งทั้งหมด, พิธีการส่งออก/นำเข้า, ภาษี | ณ สถานที่ของผู้ขาย |
| CIF (Cost, Insurance, and Freight) | พิธีการส่งออก, ค่าระวางเรือ, ประกันภัยขั้นต่ำ | การขนถ่ายสินค้าลง, ภาษีนำเข้า, ประกันภัยเพิ่มเติม | เมื่อสินค้าอยู่บนเรือ |
ความเข้าใจเกี่ยวกับ Incoterms ในสัญญา
Incoterms (อินโคเทอมส์) คือ ข้อกำหนดที่ระบุภาระความรับผิดชอบ ในสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ โดยจะชี้แจงว่า ใครเป็นผู้จัดหาการขนส่ง ใครเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วน และความเสี่ยงจะถูกส่งมอบเมื่อใด หากไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจน ผู้ซื้อ และผู้ขาย อาจเผชิญกับข้อพิพาท เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าภาระในท่าเรือ หรือค่าธรรมเนียมศุลกากร
Incoterms แต่ละข้อจะระบุภาระหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น FCA (Free Carrier) กำหนดให้ผู้ขายส่งมอบสินค้าให้กับผู้รับขนส่งที่ผู้ซื้อเลือกไว้ ในขณะที่ DDP (Delivered Duty Paid) กำหนดให้ผู้ขายรับผิดชอบเกือบทุกอย่าง รวมถึงภาษีนำเข้าด้วย
ในการร่างสัญญา คู่สัญญาควรระบุ Incoterm พร้อมสถานที่ให้ชัดเจน และเจาะจง เช่น FOB Shanghai Port การใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือ เช่น FOB China อาจก่อให้เกิดความสับสนได้ ความชัดเจน จะช่วยป้องกันความเข้าใจผิด เกี่ยวกับจุดที่มีการส่งมอบความเสี่ยง และค่าใช้จ่าย
การคำนวณต้นทุนรวมจนถึงปลายทาง
ผู้นำเข้า มักประเมินต้นทุนรวม จนถึงปลายทางต่ำเกินไป ซึ่งต้นทุนนี้ ประกอบด้วยค่าใช้จ่าย มากกว่าแค่ราคาสินค้า และค่าขนส่ง โดยจะรวมถึง
- ราคาสินค้า
- ค่าขนส่งระหว่างประเทศ
- ค่าประกันภัย (ถ้ามี)
- อากร และภาษีศุลกากร
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ และขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือ
- ค่าขนส่งภายในประเทศ ไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้าย
การเลือกใช้ Incoterm ที่แตกต่างกัน จะส่งผลต่อองค์ประกอบเหล่านี้ แต่ละส่วน ตัวอย่างเช่น ภายใต้เงื่อนไข EXW ผู้ซื้อจะต้องจัดการพิธีการส่งออกด้วยตนเอง ซึ่งอาจจำเป็นต้องจ้างตัวแทนในประเทศต้นทาง ส่วนภายใต้เงื่อนไข CIF ผู้ขายจะรับผิดชอบค่าขนส่ง แต่จะทำประกันภัยให้ในวงเงินขั้นต่ำเท่านั้น ทำให้ผู้ซื้อต้องตัดสินใจว่า จะซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติม หรือไม่
การคำนวณต้นทุนรวม จนถึงปลายทางที่แม่นยำ จะช่วยให้ธุรกิจ สามารถเปรียบเทียบใบเสนอราคาจากซัพพลายเออร์ได้อย่างเป็นธรรม สินค้าที่ดูเหมือนมีราคาถูกกว่าภายใต้เงื่อนไข EXW อาจกลายเป็นมีราคาสูงขึ้น เมื่อรวมค่าธรรมเนียมการส่งออก และโลจิสติกส์เข้าไปแล้ว ผู้ซื้อควรขอรายละเอียดค่าใช้จ่ายอย่างครบถ้วน และยืนยันว่า ราคาที่ตกลงกันนั้น ครอบคลุมค่าใช้จ่ายใดบ้าง ก่อนที่จะสรุปสัญญา
พิธีการศุลกากร และการจัดส่งสินค้าขั้นสุดท้าย
ผู้นำเข้า จำเป็นต้องจัดการพิธีการศุลกากรอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้า ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือการถูกกักกันสินค้า เมื่อสินค้าผ่านศุลกากรแล้ว การจัดเตรียมการจัดส่งที่ราบรื่น ไปยังคลังสินค้า หรือลูกค้าปลายทาง จะช่วยให้ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ดำเนินไปตามกำหนดเวลา
การเตรียมตัว สำหรับพิธีการศุลกากร
ก่อนที่สินค้าจะมาถึง ผู้นำเข้าควร รวบรวมเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด ซึ่งโดยปกติจะประกอบด้วย บัญชีราคาสินค้า (Commercial Invoice), บัญชีรายละเอียดบรรจุหีบห่อ (Packing List), ใบตราส่งสินค้าทางเรือ (Bill of Lading) หรือทางอากาศ (Air Waybill) และใบขนสินค้าขาเข้า การมีเอกสารไม่ครบถ้วน หรือไม่สอดคล้องกัน เป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่พบบ่อยที่สุด ของความล่าช้า
สินค้าหลายประเภท จำเป็นต้องมีใบอนุญาต หรือใบรับรองเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น อาหาร เครื่องสำอาง หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาจต้องได้รับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับ การตรวจสอบข้อกำหนดเหล่านี้ ล่วงหน้า จะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนสุดท้าย ณ ด่านศุลกากร
การทำงานร่วมกับตัวแทนออกของ ที่ได้รับอนุญาต (ชิปปิ้ง) จะช่วยให้กระบวนการง่ายขึ้น ตัวแทนจะทำหน้าที่ยื่นใบขนสินค้า จำแนกประเภทสินค้าภายใต้พิกัดศุลกากร (HS Code) ที่ถูกต้อง และคำนวณอากรหรือภาษี สำหรับการนำเข้าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้นำเข้า อาจใช้การค้ำประกันทางศุลกากร เพื่อครอบคลุมการนำเข้าหลายครั้ง ในหนึ่งปี
การเตรียมการล่วงหน้า ช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ และเร่งรัดการปล่อยสินค้า การจัดทำเอกสารที่ถูกต้อง และการชำระอากรตรงเวลา เป็นสองขั้นตอนที่สำคัญ ที่สุด เพื่อให้ผ่านพิธีการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย และวิธีหลีกเลี่ยง
ผู้นำเข้า มักประสบปัญหาจากความผิดพลาดเล็กน้อย แต่มีค่าใช้จ่ายสูง ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยประการหนึ่ง คือ การสำแดงราคาสินค้าในใบแจ้งหนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งอาจนำไปสู่ค่าปรับ หรือการยึดสินค้าได้ หากศุลกากรตรวจพบความผิดปกติ
อีกปัญหาหนึ่ง มาจากการจำแนกพิกัดศุลกากร (HS Code) ที่ไม่ถูกต้อง การใช้รหัสที่ผิด จะทำให้อัตราอากรเปลี่ยนแปลงไป และอาจทำให้สินค้าถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ผู้นำเข้าควรตรวจสอบรายละเอียดสินค้า และรหัสพิกัดฯ ให้ถี่ถ้วนก่อนยื่นเอกสาร
ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับเงื่อนไขการส่งมอบ (Incoterms) ก็เป็นสาเหตุของความสับสนเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ภายใต้เงื่อนไข FOB (Free on Board) ผู้ซื้อจะเป็นผู้รับผิดชอบพิธีการศุลกากร ในขณะที่เงื่อนไข DDP (Delivered Duty Paid) ผู้ขายจะเป็นผู้รับผิดชอบ การทำความเข้าใจ เรื่องความรับผิดชอบกับซัพพลายเออร์ให้ชัดเจน จะช่วยหลีกเลี่ยงข้อพิพาทได้
ข้อผิดพลาดอื่นๆ รวมถึงการขาดฉลากที่จำเป็น เอกสารไม่ตรงกัน และการละเลยกฎระเบียบเฉพาะของผลิตภัณฑ์ ในแต่ละประเทศ การใช้รายการตรวจสอบสั้นๆ สามารถช่วยได้
- ตรวจสอบความสอดคล้องของผลิตภัณฑ์กับข้อบังคับ
- ยืนยันเงื่อนไข Incoterms ที่ถูกต้อง
- ตรวจสอบเอกสารทั้งหมดให้ตรงกัน
- ทบทวนพิกัดศุลกากร
ด้วยการจัดการรายละเอียดเหล่านี้ ตั้งแต่เนิ่นๆ ผู้นำเข้าจะสามารถหลีกเลี่ยงความล่าช้า และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้
การรับ และกระจายสินค้า
เมื่อศุลกากรปล่อยสินค้าแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การจัดส่งขั้นสุดท้าย ในขั้นตอนนี้ ผู้ให้บริการขนส่ง (Freight Forwarder) หรือพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ จะจัดการขนส่งสินค้าจากท่าเรือ หรือสนามบิน ไปยังคลังสินค้าของผู้นำเข้า
ผู้นำเข้า ควรวางแผนการขนส่งภายในประเทศล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากสินค้ามาในตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ หรือใบอนุญาตสำหรับรถบรรทุก การประสานงานกับผู้ให้บริการขนส่งตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการจัดเก็บสินค้าที่ท่าเรือได้
หลังจากสินค้ามาถึงคลังแล้ว จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ เพื่อยืนยันว่า ปริมาณ และสภาพของสินค้าตรงกับบัญชีรายละเอียดบรรจุหีบห่อ (Packing List) หากมีความเสียหาย หรือสินค้าขาดหาย ควรบันทึกเป็นหลักฐานทันที เพื่อใช้ในการเรียกร้องค่าเสียหาย (Claim)
สำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าโดยตรงถึงลูกค้า การบูรณาการขั้นตอนพิธีการศุลกากร เข้ากับบริการจัดส่งสินค้าสู่ปลายทาง (Last-mile delivery) จะช่วยให้การกระจายสินค้ารวดเร็วยิ่งขึ้น การใช้พันธมิตรด้านโลจิสติกส์ที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้ห่วงโซ่อุปทาน ดำเนินไปอย่างราบรื่น ตั้งแต่ขั้นตอนการปล่อยสินค้าจากศุลกากร ไปจนถึงมือผู้ซื้อคนสุดท้าย


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
อยากนำเข้าสินค้าจากจีน แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ตอบทุกคำถาม ที่มือใหม่กังวล
การนำเข้าสินค้า
พ.ย.
สร้างแบรนด์ร้านทุกอย่าง 20 บาท ด้วยการเดินทางไปหาแหล่งผลิตเองที่จีน
การเปิดตัวแบรนด
พ.ย.
เปิดไอเดียธุรกิจ อยากบินไปสั่งของที่จีน รีวิวตลาดจีน หาโรงงานและโกดังจีนยังไงให้เริ่มได้จริง
เปิดไอเดียธุรกิ
พ.ย.
อย่าเพิ่งรีบซื้อแฟรนไชส์ จนกว่าคุณจะเข้าใจ โมเดลธุรกิจหลัก อย่างแท้จริง
การซื้อแฟรนไชส์
ต.ค.
เมืองอี้อู แหล่งผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน และวอลล์เปเปอร์ ราคาส่งจากโรงงานจีน
แหล่งรวมผ้าม่าน
ต.ค.
ชุดแต่งงานจากจีน ทำไมถูกกว่าครึ่งแต่สวยเหมือนแบรนด์ดัง พร้อมแหล่งของชำร่วยและของตกแต่งงานแต่ง | China4Trip
เปิดแหล่งชุดแต่
ต.ค.
ของเล่นจากจีนทำไมถึงขายดี? เจาะลึกตลาดจริงพร้อมเคล็ดลับเลือกสินค้ากำไรสูงสำหรับมือใหม่
รู้หรือไม่? ของ
ต.ค.
รีวิวตลาด โรงงาน แหล่งขายส่งเครื่องเขียนจีน และการนำเข้าเครื่องเขียนจากจีน เมืองอี้อู
ค้นพบแหล่งขายส่
ต.ค.