Commercial Invoice ถือเป็นเอกสารสำคัญอย่างยิ่งในการค้าระหว่างประเทศ โดยจะระบุรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ Commercial Invoice จะแตกต่างจากใบแจ้งหนี้มาตรฐานตรงที่จะต้องมีข้อมูลให้ตรงตามข้อกำหนดทางศุลกากร และประกอบด้วยข้อมูลครอบคลุมเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขาย Commercial Invoice จะระบุรายการสินค้าที่จำหน่าย อธิบายมูลค่าของแต่ละสินค้า และให้ข้อมูลสำคัญที่จำเป็นสำหรับหน่วยงานศุลกากร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประเมินภาษีอากร และตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายของการขนส่ง
โดยทั่วไปแล้วข้อมูลใน Commercial Invoice จะประกอบด้วยชื่อ และที่อยู่ของผู้ซื้อ และผู้ขาย คำอธิบายรายละเอียดของสินค้า เงื่อนไขการขาย มูลค่าต่อหน่วยที่ประกาศไว้ และมูลค่ารวมทั้งหมดของสินค้าที่ขนส่ง นอกจากนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ปริมาณ และน้ำหนักยังระบุค่าขนส่ง ซึ่งรวมถึงค่าประกันภัย และค่าขนส่งสินค้าด้วย การจัดทำ Commercial Invoice อย่างถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะส่งผลต่อภาษีนำเข้า และอากร ตลอดจนช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินพิธีการศุลกากร สำหรับการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเข้าใจในหน้าที่ และความสำคัญของ Commercial Invoice ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่ส่งสินค้าออกนอกประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้การปฏิบัติตามข้อบังคับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เป็นไปอย่างถูกต้องเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นในพิธีการศุลกากรอีกด้วย Commercial Invoice ที่จัดทำอย่างถูกต้องครบถ้วน สามารถเพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการส่งออก และช่วยให้การเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามพรมแดนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สารบัญ
1. คำจำกัดความของ Commercial Invoice
2. องค์ประกอบของ Commercial Invoice
- ข้อมูลผู้ขาย และผู้ซื้อ
- รายละเอียดสินค้า
- เงื่อนไขการขาย
- ราคา และสกุลเงิน
- น้ำหนัก และปริมาตร
- ประเทศต้นทาง
3. Commercial Invoice เทียบกับ Proforma Invoice
4. บทบาทของใบแจ้งหนี้ในการค้าระหว่างประเทศ
5. การเตรียม Commercial Invoice
คำจำกัดความของ Commercial Invoice
ใบแจ้งหนี้เชิงพาณิชย์ (Commercial Invoice) เป็นเอกสารสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ โดยระบุรายละเอียดการขาย และการโอนสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ ช่วยอำนวยความสะดวกในกระบวนการศุลกากร และการนำเข้า
วัตถุประสงค์ของ Commercial Invoice
Commercial Invoice ทำหน้าที่เป็นหลักฐานการขายระหว่างผู้ขาย และผู้ซื้อในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่ศุลกากรใช้เป็นหลักในการประเมินภาษีอากร เพื่อให้แน่ใจว่ามีการเรียกเก็บภาษีที่ถูกต้อง สำหรับสินค้าที่เข้ามาในประเทศ ใบแจ้งหนี้นี้จะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับปริมาณ คำอธิบายของสินค้า มูลค่า และเงื่อนไขการขาย ข้อมูลนี้จำเป็นสำหรับเจ้าหน้าที่ในการใช้ภาษีศุลกากร และภาษีที่เหมาะสม
ข้อกำหนดทางกฎหมาย
ตามกฎหมายแล้ว Commercial Invoice เป็นข้อตกลงผูกพันที่ศุลกากรต้องการ เพื่อเคลียร์สินค้าใดๆ สำหรับนำเข้าสู่ประเทศ เอกสารต้องถูกต้อง และเป็นความจริง มิฉะนั้นอาจส่งผลให้เกิดบทลงโทษทางกฎหมาย Commercial Invoice คือ พื้นฐานของการจัดเตรียมเอกสารอื่นๆ เช่น ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) และบัญชีแสดงสินค้าที่ต้องขนส่ง (Shipping Manifest) ซึ่งจำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อมูลบน Commercial Invoice ความไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่ความล่าช้า ค่าปรับ หรือการยึดสินค้า
องค์ประกอบของ Commercial Invoice
ใบแจ้งหนี้เชิงพาณิชย์ (Commercial Invoice) คือ เอกสารสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ โดยระบุรายละเอียดการทำธุรกรรมระหว่างผู้ขาย และผู้ซื้อ ส่วนประกอบของใบแจ้งหนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกในการผ่านพิธีการศุลกากร และช่วยกำหนดภาษี และอากรที่เกี่ยวข้อง
ข้อมูลผู้ขาย และผู้ซื้อ
Commercial Invoice ต้องมีชื่อตามกฎหมาย ที่อยู่ และรายละเอียดการติดต่อของทั้งผู้ขาย (ผู้ส่งออก) และผู้ซื้อ (ผู้นำเข้า) ส่วนนี้ทำหน้าที่เป็นหลักฐานการทำธุรกรรม และระบุคู่สัญญาที่เกี่ยวข้อง
รายละเอียดสินค้า
แต่ละรายการที่จัดส่งควรระบุไว้อย่างชัดเจนในใบแจ้งหนี้ ซึ่งรวมถึงคำอธิบายโดยละเอียด ปริมาณที่จัดส่ง และหมายเลข หรือรหัสประจำตัว
เงื่อนไขการขาย
Incoterms เช่น FOB หรือ CIF จะรวมอยู่ด้วย เพื่อระบุว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงต่างๆ โดยจะระบุเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ เกี่ยวกับการจัดส่ง และการขนส่งสินค้า
ราคา และสกุลเงิน
ควรกำหนดราคาต่อหน่วย และราคาสินค้าทั้งหมด พร้อมกับสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรมให้ชัดเจน สิ่งนี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรสามารถประเมินมูลค่าสินค้าได้อย่างถูกต้อง
น้ำหนัก และปริมาตร
ใบแจ้งหนี้ควรระบุน้ำหนักรวม และน้ำหนักสุทธิเป็นกิโลกรัม หรือปอนด์ และปริมาตรเป็นลูกบาศก์เมตร หรือฟุต ข้อมูลนี้ช่วยในการคำนวณค่าขนส่ง และทำให้มั่นใจว่าสินค้าได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง
ประเทศต้นทาง
ควรกำหนดประเทศต้นทางของสินค้า เพื่อพิจารณาการปฏิบัติพิเศษ หรือข้อตกลงทางการค้า ที่อาจส่งผลต่อภาษีอากร และเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับการนำเข้า
Commercial Invoice เทียบกับ Proforma Invoice
Commercial Invoice เป็นเอกสารทางกฎหมายระหว่างผู้จัดส่งสินค้า และลูกค้า ที่บันทึกธุรกรรมการซื้อขาย และใช้สำหรับการสำแดงสินค้าต่อหน่วยงานศุลกากร เมื่อจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศ ในทางกลับกัน ใบแจ้งหนี้ล่วงหน้า เป็นใบเสร็จค่าสินค้าเริ่มต้นที่ส่งถึงผู้ซื้อล่วงหน้าก่อนการจัดส่งสินค้า โดยทั่วไปจะทำหน้าที่เป็นสัญญาต่อรองราคา หรือใบเสนอราคา ก่อนที่จะมีการออก Commercial Invoice
ความแตกต่างหลักมีดังนี้
ใบแจ้งหนี้เพื่อการค้า | ใบแจ้งหนี้ล่วงหน้า |
ทำหน้าที่เป็นการเรียกร้องชำระเงิน | จัดทำเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูล |
ใช้เป็นเอกสารสำหรับพิธีการศุลกากร | ไม่ถือว่าเป็นเอกสารสำหรับพิธีการศุลกากร |
จำเป็นสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ | ใช้เพื่อกระบวนการขออนุมัตินำเข้าเป็นหลัก |
มีรายละเอียดการขายขั้นสุดท้าย | มีรายละเอียดธุรกรรมที่เสนอ |
มีข้อมูลผู้ขาย และผู้ซื้อที่ครบถ้วน | อาจไม่มีข้อมูลธุรกรรมขั้นสุดท้ายครบถ้วน |
การใช้ Commercial Invoice เป็นเอกสารสำคัญในธุรกรรมอย่างเป็นทางการ โดยสะท้อนถึงข้อตกลงที่ได้รับการยืนยันระหว่างผู้ขาย และผู้ซื้อ เอกสารนี้ถือเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการส่งออก และเป็นเอกสารสำคัญสำหรับพิธีการศุลกากร ช่วยให้มั่นใจได้ว่าสินค้าจะถูกเก็บภาษีอย่างถูกต้อง และผ่านพิธีการศุลกากรได้อย่างราบรื่น
ในทางกลับกัน ใบแจ้งราคาล่วงหน้ามีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ราคาประเมิน หรือใบเสนอราคาสำหรับสินค้า หรือบริการ เอกสารดังกล่าวจะแจ้งให้ผู้ซื้อทราบถึงสินค้าที่คาดว่าจะได้รับ และจำนวนเงินที่จะถูกเรียกเก็บ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายตกลงในเงื่อนไข ก่อนที่จะออก Commercial Invoice แม้ว่าเอกสารนี้ อาจมีลักษณะคล้ายกับใบแจ้งหนี้จริง แต่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ในแบบที่ Commercial Invoice มีอยู่
บทบาทของใบแจ้งหนี้ในการค้าระหว่างประเทศ
Commercial Invoice เป็นเอกสารสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ ที่ช่วยให้การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
พิธีการศุลกากร
หน่วยงานศุลกากร จำเป็นต้องใช้ Commercial Invoice สำหรับกระบวนการพิธีการศุลกากร เอกสารนี้จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จัดส่ง พร้อมคำอธิบายที่ชัดเจน และข้อมูลที่จำเป็น เช่น ปริมาณ และมูลค่ารวม การนำเข้า และผ่านพิธีการศุลกากรจะขึ้นอยู่กับเอกสารนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการรับรองว่ามีการสำแดงสินค้าที่ขนส่งอย่างถูกต้อง
การกำหนดภาษีศุลกากร และภาษีอื่นๆ
Commercial Invoice ช่วยให้เจ้าหน้าที่ศุลกากร ประเมิน และใช้ภาษีศุลกากร และภาษีอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสินค้านำเข้า ค่าธรรมเนียมต่างๆ จะถูกคำนวณตามมูลค่าที่แสดงในใบแจ้งหนี้ การออกใบแจ้งหนี้ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย และค่าปรับ ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงมูลค่าของสินค้าไม่ถูกต้อง
การเตรียม Commercial Invoice
ใบกำกับสินค้า เป็นเอกสารสำคัญอย่างยิ่ง ในวงการการค้าระหว่างประเทศที่ต้องใช้ความพิถีพิถันในการจัดเตรียม ใบกำกับสินค้าจะแสดงรายละเอียดธุรกรรมระหว่างผู้ส่งออก และผู้นำเข้า อีกทั้งยังจำเป็นสำหรับการผ่านพิธีการศุลกากรด้วย
เอกสารที่จำเป็น
ขณะจัดเตรียมใบกำกับสินค้า ผู้ส่งออกจำเป็นต้องแน่ใจว่าเอกสารนี้ต้องแนบไปกับเอกสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินการพิธีการทางศุลกากรอย่างราบรื่น โดยทั่วไปเอกสารเหล่านี้ จะรวมถึง ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) หรือ ใบรับสินค้าทางอากาศ (Air Waybill) บัญชีแสดงรายการสินค้า (Packing List) ที่แสดงเนื้อหาสิ่งของในพัสดุ
และในหลายๆ ครั้งจำเป็นต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ตัวใบกำกับสินค้าจะต้องแสดงข้อมูลอย่างละเอียด อาทิ รายละเอียดของผู้ขาย และผู้ซื้อ คำอธิบายสินค้าอย่างครบถ้วน และปริมาณของสินค้า การแสดงราคา สกุลเงิน เงื่อนไขการขายระหว่างประเทศ (Incoterms) และเงื่อนไขการชำระเงิน
Commercial Invoice แบบอิเล็กทรอนิกส์กับแบบกระดาษ
ในยุคดิจิทัลเช่นทุกวันนี้ การจัดทำใบกำกับสินค้า สามารถทำได้ทั้งแบบที่พิมพ์บนกระดาษ และแบบอิเล็กทรอนิกส์ ใบกำกับสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น ด้วยประสิทธิภาพในการดำเนินการ และมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดน้อยกว่า โดยทั่วไปจะใช้รูปแบบเดียวกับใบกำกับสินค้าแบบกระดาษ แต่จะส่งผ่านทางอีเมล หรือผ่านระบบที่ปลอดภัย แม้ว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากรจำนวนมากจะยอมรับใบกำกับสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่การตรวจสอบข้อกำหนดเฉพาะของประเทศปลายทางนั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญ
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
ผู้ส่งออกควร หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปที่พบบ่อยหลายประการ เพื่อป้องกันการล่าช้าของการขนส่ง และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ความไม่ถูกต้องสำคัญที่ควรหลีกเลี่ยง อาทิ การระบุข้อมูลผู้ซื้อ หรือผู้ขายที่ไม่ถูกต้อง คำอธิบายสินค้าที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ได้ระบุประเทศต้นทาง และไม่มีรหัสระบบฮาร์โมไนซ์ (HS Code) รายการสินค้าแต่ละรายการ จะต้องระบุรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ที่ทำการขนส่งอย่างพิถีพิถัน โดยใส่ใจกับค่าเงิน และมูลค่ารวมที่ถูกต้อง เพื่อรับรองการประเมินภาษีศุลกากรที่เที่ยงตรง
ข้อพิจารณาด้านกฎระเบียบ
ในการจัดทำใบแจ้งหนี้เชิงพาณิชย์ (commercial invoice) สิ่งสำคัญ คือ ต้องเข้าใจกรอบกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละประเทศ ตลอดจนระเบียบปฏิบัติที่เข้มงวดในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการส่งออก
ข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละประเทศ
แต่ละประเทศมีชุดข้อบังคับของตนเอง ที่ส่งผลต่อวิธีการจัดการ Commercial Invoice ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปกำหนดให้ต้องออกใบแจ้งหนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับธุรกรรมระหว่างบริษัทกับบริษัท (B2B) ส่วนใหญ่ และการติดต่อบางอย่างระหว่างบริษัทกับผู้บริโภค (B2C) ธุรกิจต่างๆ จะต้องคุ้นเคยกับมาตรฐานเอกสารเฉพาะของแต่ละประเทศ กฎหมายภาษีอากร และองค์ประกอบต่างๆ ของใบแจ้งหนี้ที่จำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนประสบความสำเร็จ
การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการส่งออก
การปฏิบัติตามข้อบังคับการส่งออก เป็นสิ่งสำคัญยิ่งเมื่อเตรียม Commercial Invoice สิ่งนี้รวมถึงการให้รายละเอียดอย่างถูกต้อง เช่น ข้อมูลของผู้ขาย ข้อมูลของผู้ซื้อ รายละเอียดการทำธุรกรรม และคำอธิบายโดยละเอียดของสินค้า ซึ่งรวมถึงปริมาณ และมูลค่า Commercial Invoice ถือเป็นเอกสารแจ้งข้อมูลต่อศุลกากร ซึ่งเจ้าหน้าที่ใช้ในการพิจารณาภาษีอากร หรือค่าธรรมเนียมตามข้อมูลที่ระบุไว้ การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ อาจส่งผลให้การจัดส่งล่าช้า บทลงโทษทางกฎหมาย หรือการปฏิเสธไม่ให้สินค้าเข้าประเทศ
การใช้ในงานขนส่งสินค้า และธุรกิจโลจิสติกส์
ในโลกของการค้าระหว่างประเทศ ใบแจ้งหนี้เชิงพาณิชย์ (commercial invoice) มีความจำเป็นต่อการเคลื่อนย้ายสินค้า และการจัดการโลจิสติกส์ เอกสารนี้ทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องมือเรียกเก็บเงิน และรายการเนื้อหาโดยละเอียดของสินค้าที่ขนส่ง
รายละเอียดการจัดส่ง และการขนส่ง
Commercial Invoice มีรายละเอียดที่เกี่ยวกับการขนส่ง และการจัดการครบถ้วน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ระบุชื่อ และที่อยู่ของผู้ส่งออก และผู้นำเข้า คำอธิบายโดยละเอียดของสินค้า รวมทั้งปริมาณ และราคาต่อหน่วย และยอดรวมทั้งหมดในใบแจ้งหนี้ โดยข้อมูลนี้จำเป็นต่อการประเมินการเรียกเก็บภาษีอากรที่ถูกต้อง การระบุรายการอย่างแม่นยำถือเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อการประเมินภาษีที่ถูกต้องแม่นยำ ตัวอย่างแบบง่ายของวิธีการนำเสนอรายละเอียดเหล่านี้มีดังนี้
- ผู้ส่งออก : ABC Electronics, Inc.
- ผู้นำเข้า : XYZ Retailers, Ltd.
- รายละเอียดสินค้า : สมา์ทโฟนรุ่น X123 จำนวน 10 เครื่อง
- ราคาต่อหน่วย : $500
- ราคารวม : $5000
การติดตามการขนส่ง
สำหรับการติดตามการขนส่ง Commercial Invoice จะมีหมายเลขประจำตัวเฉพาะ เช่น หมายเลขใบสั่งซื้อ หรือหมายเลขสัญญาการขาย ซึ่งทำให้ทุกฝ่ายสามารถติดตามสถานะ และการเคลื่อนไหวของสินค้าผ่านรูปแบบการขนส่ง และจุดตรวจสอบที่แตกต่างกัน โดยใช้รหัสประจำตัวเหล่านี้ ผู้ให้บริการขนส่ง และเจ้าหน้าที่ศุลกากร สามารถประสานงาน และติดตามความคืบหน้าของสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ช่วยให้เกิดความโปร่งใส และตรวจสอบได้ตลอดกระบวนการขนส่ง
- หมายเลขใบสั่งซื้อ : PO001234567
- หมายเลขสัญญาการขาย : SC009876543
- ผู้ให้บริการขนส่ง : Global Shipping Co.
- วันที่ส่งสินค้า : วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567
- วันที่คาดว่าจะมาถึง : วันที่ 3 มีนาคม 2567
Commercial Invoice ที่ถูกต้อง และมีรายละเอียดครบถ้วน จะช่วยให้การดำเนินการผ่านศุลกากรมีประสิทธิภาพ ลดการล่าช้า หรือปัญหาที่ไม่จำเป็นในการเดินทางของสินค้า
นวัตกรรมดิจิทัลในการออกใบแจ้งหนี้
กระบวนการออกใบแจ้งหนี้ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากนวัตกรรมดิจิทัลล่าสุด โดยแต่ละปัจจัยล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความโปร่งใสของธุรกรรม
การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) คือ การแลกเปลี่ยนเอกสารทางธุรกิจในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มาตรฐานระหว่างคู่ค้าทางธุรกิจผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ระบบนี้ช่วยเพิ่มความเร็วในการจัดส่ง และประมวลผลใบแจ้งหนี้ได้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น ระบบ EDI สามารถทำธุรกรรมอัตโนมัติ จัดส่งใบแจ้งหนี้แบบเรียลไทม์ ช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์ และลดเวลาในการดำเนินการจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่นาที
เทคโนโลยีบล็อกเชน
เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) นำเสนอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการจัดการใบแจ้งหนี้ โดยนำเสนอระบบบัญชีแยกประเภทที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้สำหรับธุรกรรม ใบแจ้งหนี้แต่ละรายการ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายบล็อกที่รักษาความปลอดภัยด้วยหลักการเข้ารหัส ธุรกรรมเหล่านี้มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ง่าย ซึ่งช่วยลดโอกาสในการฉ้อโกงได้อย่างมาก
นอกจากนี้ บล็อกเชนยังช่วยลดความซับซ้อนในการเก็บบันทึก เนื่องจากรายการทั้งหมดในระบบจะถูกประทับเวลา และเชื่อมโยงกับธุรกรรมก่อนหน้า ทำให้มั่นใจได้ว่าการตรวจสอบนั้นตรงไปตรงมา และยากต่อการปลอมแปลง